Thursday, February 13, 2014

ลัดเลาะรอบรั้วสเปน: เยือนเมืองแห่งทะเลเหนือ San Sebastián (ตอนที่ 1)


เมืองที่ติ๊ดตี่จะพาไปรู้จักวันนี้ เป็นเมืองที่ติ๊ดตี่ชอบมากที่สุดตั้งแต่เคยไปเที่ยวเมืองต่างๆของสเปนมาเลยค่ะ ติ๊ดตี่มีความทรงจำที่ดีมากๆกับเมืองนี้ รู้สึกประทับใจทั้งเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว วิวทิวทัศน์ บรรยากาศ อาหารการกิน ผู้คน สภาพอากาศ ประจวบเหมาะกับช่วงที่ไป เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี อากาศเลยสดใสมากๆ แดดดี ลมเย็น ไม่หนาว ไม่ร้อนจนเกินไป ถ้าจะพูดอวยกันซะขนาดนี้ เลื่อนลงมาอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าเมืองนี้เค้ามีอะไรดีบ้าง 


ถ้าดูตามแผนที่ประเทศสเปน ซานเซบสเตียนจะตั้งอยู่ตรงจุดแดงๆค่ะ (รูปซ้าย) ส่วนรูปด้านขวา คือ ตัวเมืองค่ะมีลักษณะเป็นอ่าวเว้าเข้ามา อ่าวนี้มีชื่อว่า Bahía de la Concha (บาอี๊อา เด ลา กอนช่า) ตรงส่วนปลายอ่าวทั้งสองด้านเป็นภูเขาสูง เป็นจุดชมวิวของเมืองทั้งสองที่เลยค่ะ ซึ่งตอนไปเที่ยวก็ได้ไปขึ้นมาครบค่ะ ขอบอกสวยจริงๆ


ตอนที่แพลนทริปนี้ เรา - ติ๊ดตี่และคณะเพื่อนสาวอีกสองคน - ตั้งใจจะทำทริปเก็บเมืองทางตอนเหนือของสเปนในระยะเวลา 4-5 วันช่วงหยุดเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งตัวเลือกอันดับหนึ่งของพวกเราก็คือ แคว้น País Vasco (ปาอิส บาสโก้) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ แคว้นบาสก์ นั่นแหละค่ะ แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสเปน ติดกับทะเลกันตาบริโก้ (Mar Cantábrico) ใกล้ฝรั่งเศสมากๆ แคว้นนี้ใครอาจจะพอคุ้นๆว่า แต่ก่อนเค้ามีกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนชื่อ ETA ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลสเปนมานานมาก จนเค้ามาสงบศึกกันได้เมือไม่กี่ปีมานี้ คือ ที่เค้าอยากแยกตัวออกไปจากสเปน ก็ด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และภาษาที่แตกต่างกัน แคว้นนี้เค้ามีภาษาของเค้านะคะ เรียกว่า Euskera (เออุสเกร่า) ซึ่งค่อนข้างต่างจากภาษาสเปน (Castllano - กัสเตย่าโน่) อย่างมาก เรียกได้ว่า ต่างกันคนละเรื่องเลย! เพราะมาจากรากภาษาที่แตกต่างกัน ส่วนคอบอลคงจะคุ้นกับชื่อทีม Athletic Bilbao ทีมฟุตบอลชื่อดังอีกทีมของสเปน 


พูดถึงเมืองแถบนี้ สิ่งที่โดดเด่นมากๆ ในความคิดของจขบ.คือ ธรรมชาติที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ อาหารที่อร่อยฝุดๆ (พวก Pintxos [ปินโชส], อาหารทะเล, Sidra หรือไวน์แอปเปิ้ล) ความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จัดได้ว่า เป็นแคว้นที่น่าอยู่มากๆเลยทีเดียว สรุปคือ ทริปนี้ "สาว สาว สาว" อันประกอบด้วยตัวเองและเพื่อนๆ ก็เลยแพลนกันว่าจะไปเที่ยว Bilbao, San Sebastián, Zaragoza กันค่ะ แต่วันนี้จะขอมารีวิวเฉพาะเมืองซานเซบาสเตียน หรือ Donostia (โดโนสเตีย) ชื่อตามภาษา Euskera ก่อนค่ะ



เราไปถึงซานเซบาสเตียนตอนเย็นพอดี ไปถึงก็รีบเข้าที่พัก ซึ่งเราจอง hostel ใจกลางย่านเมืองเก่า (Casco Antiguo) ของซานเซบาสเตียนไว้ และเนื่องจากช่วงที่ไป ตรงกับช่วงเทศกาลอีสเตอร์พอดี คนเลยเยอะมาก แถมย่านนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์เบียร์ แหล่งช๊อปปิ้งของที่ระลึก คนเลยเดินกันให้ขวักไขว่ ยั้วเยี้ย แก้วเบียร์เยอะพรืด ทำเอาติ๊ดตี่สะพรึงไปชั่วขณะ (ฮา) แต่ก็ครึกครื้นไปอีกแบบดีค่ะ โอเค เก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกไปเดินรับลมทะเลกันหน่อย ชายหาดหลักของที่นี่ ชื่อว่า หาดลากอนช่า (La Concha) ตัวหาดนี่ยาวเกือบกิโลครึ่ง ทอดยาวจากหน้าศาลาว่าการเมือง (Ayuntamiento) ไปถึง Palacio de Miramar ตรงนั้นก็จะมีชาวเมือง (หน้าตาดีกว่า 90%!) มาเดินเล่น จูงน้องหมา มาเป็นคู่ พักผ่อนหย่อนใจยามเย็น นอนเอนก นั่งรับลมบริเวณท่าเรือ โรแมนติกมากกก นี่พูดเลย!



เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินดูรอบๆย่านที่พัก ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่า เช้าๆอย่างงี้นับว่าร้างผู้คนมาก คนยังไม่ตื่นจากปาร์ตี้เมื่อคืนกัน (ฮาาา) เสร็จแล้วเราก็มายังจุดที่เป็นศาลาว่าการเมือง (Ayuntamiento) และชายหาดที่เรามาเมื่อวาน ตอนเช้าคนยังไม่ตื่นเท่าไหร่ เห็นแดดออกอย่างงี้ แอบหนาวนะคะ เพราะลมเย็นมาก แต่ก็ยังมีสาวสเปนใส่บิกินี่สู้ลมหนาวเดินเล่นชายหาดให้เห็นอยู่คนสองคน ต้องบอกว่า จขบ.รู้สึกว้าวมาก กับบรรยากาศชายหาดตอนเช้าของที่นี่ สวยมากจริงๆ จขบ.และเพื่อนสาวเลยบิดซ้ายบิดขวาเล็งมุมแชะภาพกันอยู่เกือบร้อยแอ๊ค! (ฮา)

ศาลาว่าการเมือง 



 ตึกสีแดงอิฐที่อยู่ริมชายหาดคือวังมิรามาร์ (Palacio de Miramar)




หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เราก็เดินขึ้นเขา Monte Urgull ที่อยู่ข้างๆหาดกัน จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ยอดเขา ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ระยะทางรู้สึกจะเป็นกิโลอ่ะค่ะ น่าจะสองกิโลกว่าๆ เป็นทางเดินลาดชันขึ้นไป ซึ่งเค้าทำไว้ดีมากทีเดียว ไม่ใช่ทางดินลูกรังแบบบ้านเรา แล้วทางเดินมันจะเลียบเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้สามารถชมวิวเมืองซานเซบาสเตียนจากมุมสูงได้ตลอดทาง 



ตึกสีแดงอิฐนี้ คือ Palacio de Miramar ค่ะ ภาพนี้ถ่ายจากทางขึ้น ซูมไปเต็มแม็กของกล้องเลยค่ะ จริงๆมันตั้งอยู่ไกลจากจุดที่ยืนมาก ถ้าดูจากแผนที่ ก็อยู่อีกฝั่งของอ่าวเลยล่ะค่ะ


จะเห็นว่าหาดถูกแบ่งเป็นสองช่วงตรงแหลมที่ยื่นออกมาจาก Palacio de Miramar ด้านซ้ายคือ Playa de la Concha หรือหาดกอนช่าค่ะ ส่วนด้านขวาคือ Playa de Ondarreta หรือหาดออนดาร์เรต้าค่ะ




เราเดินกันขึ้นมาเรื่อยๆค่ะ ไม่รีบร้อน หยุดถ่ายรูปกันตลอดทางเลย เหนื่อยก็พัก เพราะเค้ามีเก้าอี้ไว้ให้นั่ง มีสวนหย่อมเล็กๆ เขียวชอุ่มมาก คือ คนที่นี่เค้าก็จะมาเดิน-วิ่งออกกำลังกาย พาน้องหมามาเดินเล่น เดินชมวิวอะไรไป ชิลสุดๆเลยค่ะ


ภาพข้างล่างนี้ถ่ายบริเวณเกือบจะถึงยอดของภูเขาแล้วค่ะ มุมนี้เป็นมุมที่ติ๊ดตี่รู้สึกว่ามันสวยมากๆ คือ สามารถมองเห็นตัวเมืองซานเซบาสเตียนได้ทั้งหมด เกือบ 360 องศา ภูเขาสูงๆที่อยู่ด้านหลังเกาะคือ Monte Igueldo หรือเขาอิเกลโด้ค่ะ ตรงยอดเขามีจุดชมวิวเหมือนกันค่ะ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปขึ้นตอนเย็นค่ะ 


ขึ้นมาถึงบริเวณยอดเขา จะเป็นปราสาท-ป้อมปราการสมัยก่อนค่ะ ชื่อว่า Castillo de la Mota หรือปราสาทโมต้า พอดีติ๊ดตี่มีแต่รูปที่ถ่ายติดตัวเอง เลยขอไม่เอามาลงละกันนะคะ เดี๋ยววิวเค้าจะเสียหมด Foot in mouth ตัวปราสาทเหลือแต่ซากแล้วค่ะ คือ มีลักษณะเป็นป้อมสร้างด้วยหินด้วยอิฐ ตรงบริเวณนั้นมีรูปปั้นพระเยชูสูงประมาณ 12 เมตรตั้งอยู่ด้วย


วิวจากบริเวณป้อมปราการ


หลังจากนั้นก็ได้เวลาลงค่ะ เพราะเราใช้เวลาเดินเรื่อยเปื่อยกันนานกว่าที่คาดไว้ เพราะมัวแต่ดื่มด่ำกับวิวกับรัวถ่ายรูปไม่ยั้ง (ฮา) ขาลงเราเดินลงอีกทางค่ะ เพราะเค้าตัดเส้นทางวนลงอีกทางให้ โดยไม่ต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมที่ขึ้นมา คือเดินวนได้รอบเขาเลยค่ะ 



ลงมาถึงข้างล่างก็เจอสถาปัตยกรรมหน้าตาแปลกๆอันนี้ล่ะค่ะ


ลงมาถึงข้างล่างปุ๊ป ท้องก็ร้องปั๊ป! ก็ใช้พลังงานเดินไต่เขากันอยู่ครึ่งวันนี่คะ เราเลยเดินเข้าไปใจกลางย่านเมืองเก่าอีกครั้ง เลือกร้านกันอยู่ซักพักเราก็ดิ่งเข้าร้านนี้ เพราะหน้าตาดูดี อาหารดูน่ากิน แต่ติ๊ดตี่จำชือร้านไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องขออภัย Foot in mouth อาหารร้านนี้เป็นอาหารท้องถิ่นแนวฟิวชั่นหน่อยๆ คือ เป็นอาหารรสชาติสเปน แต่หน้าตาจะจัดแต่งมาสวยงามกว่าปกติ จะไม่ได้เป็นแบบ homemade พื้นบ้านขนาดนั้น ซึ่งถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าร้านนี้จะได้รางวัลร้านที่มีคุณภาพมาตรฐานสำหรับนักท่องเที่ยวของซานเซบาสเตียนด้วย


ใครมาถึงถิ่นแคว้นบาส์ก ห้ามพลาดลิ้มรส Sidra (ซิดร้า) หรือไวน์แอปเปิ้ล สินค้าโอท็อปของแคว้นนี้เชียวค่ะ รสชาติจะเบากว่าไวน์องุ่น ไม่ขม ไม่เฝื่อนมาก ผู้หญิงกินได้สบายๆ ถ้าเป็นร้านที่เค้าขายซิดร้าโดยเฉพาะ (เรียกว่า Sidrería - ซิเดรเรีย) เค้าจะมีวิธีการรินซิดร้าโดยเฉพาะเลยค่ะ คือ คนรินจะถือแก้วทำมุมประมาณ 45 องศา แล้วมืออีกข้างยกขวดซิดร้าขึ้นสูงๆ แล้วเทซิดร้าให้ลงแก้ว จะทำให้มีฟองเล็กน้อย ซ่าหน่อยๆ ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงท่าทางคนทำชาชักของไทยก็ได้ค่ะ ท่าทางจะประมาณนั้นแหละค่ะ Embarassed 


ส่วนอันนี้เป็นออเดิร์ฟค่ะ เป็นไข่ขาวตีกับตับบดหรืออะไรบดซักอย่างนึงอ่ะค่ะ จำไม่ได้จริงๆ แต่ที่จำได้แม่นคือ รสชาติมันแหยะมากกก ฮ่าๆๆๆ คือ มันเหมือนกินไข่ขาวดิบตีเป็นฟองกับตับบดแบบไม่สุกอ่ะค่ะ Frown แต่มันเป็นอาหารของเค้านะคะ คือก็เห็นคนสเปนเค้าก็กินกันอร่อย แต่เราชาวไทยขอบายค่ะ




จานนี้ ซุปปลาค่ะ อร่อยมากกกก คือ เหมือนเค้าเอาปลา เอาเครื่องทุกอย่างมาต้ม เคี่ยว หรืออาจจะปั่นหยาบๆ จนทุกอย่างเปื่อยเป็นฝอยๆ รสชาติจะออกเค็มๆหน่อย texture ซุปเข้มข้น กินอุ่นๆ โล่งคอมากค่ะ 


 จานนี้เป็นปลาย่างราสซอสค่ะ (จำชื่อเมนูนี้ไม่ได้อีกแล้ว Foot in mouth)


เมนูนี้คือ Chipirones en su tinta หรือปลาหมึกในซอสหมึกค่ะ รสชาติหมึกๆมาก ฮ่าๆๆๆ คือ มันออกเค็ม เลี่ยนนิดหน่อย จริงๆถ้ากินคู่กับข้าวสวยอาจจะเข้ากันได้นะคะ แต่ถ้ากินปล่าวๆนี่ เลี่ยนมาก แต่ยังไงถ้าใครมาถึงที่นี่ อยากให้ลองชิมดูค่ะ รสชาติมันแปลกลิ้นจริงๆ



สองจานนี้ (บน-ล่าง) เป็นปลาย่างราดซอสเหมือนกันค่ะ จำชื่อเมนูไม่ได้อีกแล้ว Foot in mouth แต่จำได้ว่าเนื้อปลาสดมาก


มาถึงของหวานเป็นไอศครีมช็อคโกแลต อร่อยใช้ได้เลยค่ะ


ส่วนเมนูนี้ มีชื่อว่า Crema catalana ค่ะ จริงๆเป็นของหวานประจำแคว้นกาตาลันไม่ใช่ของแคว้นบาส์ก แต่เค้ามีเสริฟ์ เราก็กินค่ะ (ฮา) ลักษณะมันจะคล้ายๆคัสตาร์ต แต่เค้าจะเอาน้ำตาลโรยตรงผิวคัสตาร์ต แล้วเอาไฟพ่นให้มันเกรียมๆนิดหน่อยค่ะ ทานคู่กับถั่วมันๆ รสชาติหวานๆตัดกับถั่วฝาดๆ ก็อร่อยดีค่ะ


หลังจากอิ่มท้องกันไปแล้ว เราชาวคณะก็แพลนกันว่า จะเดินเลียบชายหาดกอนช่า (Playa de la Concha) ไปจนถึง Palacio de Miramar หรือวังชมทะเล (อันนี้แปลเองค่ะ ฮา) แล้วขึ้นเขาอิเกลโด้ (Monte Igueldo) เพื่อชมวิวจากยอดเขาค่ะ ซึ่งวิวจากยอดเขานี้เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆค่ะ แต่ติ๊ดตี่ขอยกไปรีวิวในตอนหน้านะคะ เพราะยังมีรายละเอียดอีกเยอะเลยค่ะ นอกจากโปรแกรมของวันนี้ (ที่เหลือ) ก็จะมีของวันสุดท้ายที่อยู่ซานเซบาสเตียนด้วยค่ะ ยังไงรอติดตามกันในตอนที่ 2 นะคะ Cool


Monday, February 10, 2014

ลัดเลาะรอบรั้วสเปน: Consuegra (กอนซวยกร้า) ดินแดนแห่งกังหันลมของดอนกิโฆเต้


เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาติ๊ดตี่ได้ไปเยือนเมืองเล็กๆ ชื่อ Consuegra (กอนซวยกร้า) มาค่ะ

ต้องบอกว่าแรงบันดาลใจในการไปเมืองนี้ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อมีพี่รู้จักสองคนไปเที่ยวเมืองนี้เมื่อสองปีก่อน และถ่ายรูปเนินเขาที่มีกังหันลมเรียงรายอยู่ตามแนวสันเขามาอย่างสวยงามตรึงตาตรึงใจมาก เห็นรูปครั้งแรกแล้วว้าวววว ว่ามันมีที่แบบนี้ในสเปนด้วยหรอ แถมทิวทัศน์ยังไปอิงกะวรรณกรรมเรื่อง Don Quijote ที่ติ๊ดตี่เคยถูกบังคับอ่านบังคับจำมาตั้งแต่สมัยเรียนอีกด้วย (ฮ่าาา) เลยร่ำๆว่าอยากจะไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปซักทีจนมีเหตุต้องกลับไทยไป พอมีโอกาสได้กลับมาสเปนอีกทีคราวนี้ มีคุณน้องที่รักคนนึงบอกว่าอยากจะไปๆ ประจวบกับเพื่อนสาวมาบอกว่ามันมีงานเทศกาลดอก azafrán ด้วยนะตัวเทอ (มันคืออะไรเดี๋ยวจะอธิบายต่อไปค่ะ) เลยถือว่าได้ฤกษ์ยามอันเหมาะเหม็งเหมาะเหม็งที่จะได้ไปซักที!


เมืองกอนซวยกร้าเป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดโตเลโด้ อยู่ในเขตแคว้น Castilla-La Mancha (กาสติย่า ลา มันช่า) ในบริเวณนี้มีการปลูก rosa de azafrán หรือ หญ้าฝรั่น กันมาก หญ้าฝรั่นที่เราเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มคือส่วนเกสรของดอกไม้ที่มีกลีบสีม่วงๆ ขายกันกิโลนึงประมาณ 3,000 ยูโร (คุณพระ!) สีเหลืองๆของ Paella (ปาเอย่า) หรือข้าวผัดสเปนก็มาจากสีของหญ้าฝรั่นนี่แหละค่ะ ใส่นิดเดียว ให้สีเหลืองสดมาก


เมืองกอนซวยร้าเป็นสถานที่จัดงานเทศกลาดอกหญ้าฝรั่นประจำปี เค้าจัดกันเป็นอีเว้นท์ระดับชาติ ชื่อว่า Festival Nacional de Folklore "Rosa del Azafrán" มีการจัดแข่งขันเอาเกสรออกจากดอก rosa de azafrán (ตามรูปข้างบน) ซึ่งเกสรที่ว่านี้ ก็คือส่วนของหญ้าฝรั่นที่เอามาใช้ปรุงอาหารนี่แหละค่ะ มีการเดินแบบชุดประจำแคว้นต่างๆ มีการร้องเพลงพื้นบ้าน มีการเต้นรำ Jota (โฆต้า) ซึ่งก็คือ การเต้นแบบสเปน ที่มี castañuelas (กัสตานย้วยลาส) หรือกรับสเปนเป็นส่วนประกอบในการให้จังหวะ (จะอยู่ในมือนักเต้น) 







มาคราวนี้นับว่าคุ้มมาก เพราะมาตรงกับเทศกาลพอดี ได้เห็นคนสเปนแต่งชุดประจำแคว้นสวยๆดูแปลกตา ชุดดูใกล้ๆนี่อลังการมาก งานปัก งานเย็บ ฝีมือเริ่ด สีสันสดใส จนอยากจะซื้อมาใส่ซักชุดนึง แต่ละแคว้นก็จะมีสไตล์ และสีสันการแต่งตัวที่ต่างกันออกไป







ดูงานเสร็จก็ได้เวลาท้องร้อง กินข้าวเที่ยง เราแวะไปกินที่ร้าน El Alfar (เอล อัลฟาร์) เป็นร้านอาหารพื้นบ้านของที่นี่ค่ะ มาร้านนี้ตามคำแนะนำในใบปลิวแนะนำการท่องเที่ยวของเมือง เข้ามาถึงเจอบรรยากาศบ้านๆ อบอุ่นๆ แบบนี้ชอบมากเลยค่ะ



Arroz caldoso con setas al azafrán เป็นอาหารจานแรกใน Menú del día (เมนู เดล เดีย - เมนูอาหารกลางวันประจำวัน) ของร้าน El Alfar มีเฉพาะเทศกาลนี้ เป็นข้าวผัดคล้ายๆริซอตโต้ แฉะๆแต่เม็ดข้าวไม่เหลว สุกกำลังดี ใส่เห็ด ผัก พริกหวาน รสชาติกลมกล่อมออกเค็มนิดๆ เหมือนซดซุปไก่ใส่เห็ดหอม สีเหลืองที่เห็นคือสีที่ได้จาก azafrán หรือหญ้าฝรั่น นางเอกของเทศกาลนี้ค่ะ 


จานที่สองเป็น Costillas de cerdo marinadas en salsa de azafrán หรือซี่โครงหมูย่างในซอสหญ้าฝรั่น


ส่วนจานนี้เรียกว่า Migas ค่ะ จานนี้เป็น Migas สูตรของจังหวัดโตเลโด้ ทำจากขอบขนมปังเหลือๆ ผัดคลุกเคล้ากับกระเทียม เครื่องปรุง ไส้กรอกสเปนหรือโชริโซ่ โปะด้วยไข่ดาว จานนี้ครั้งเดียวเกินพอค่ะ เลี่ยนมาก แห้งมาก ฝืดคอมาก ไม่ปลื้มเท่าไหร่ค่ะ (ฮ่าาา)


Flor manchega sobre crema de azafrán caliente เป็นขนมของแคว้นนี้โดยเฉพาะ เหมือนขนมไทยเรา คือ ขนมดอกจอก ครีมสีเหลืองอ่อนๆรสหวานเหมือนกิน natillas หรือพุดดิ้งเหลวๆ ครีมที่ว่านี้มีส่วนผสมของหญ้าฝรั่นค่ะ


จากตัวเมือง เราเดินออกมามุ่งสู่เนินเข้าที่มีกังหันลมค่ะ พื้นที่บริเวณนี้เป็นเนินเขาโล่งๆเตี้ยๆแห้งๆ ตามสไตล์ของแคว้น Castilla-La Mancha ค่ะ แคว้นนี้เป็นแคว้นใหญ่อยู่กลางๆประเทศค่อนไปทางใต้ ติดกับทางใต้ของมาดริด แคว้นนี้ประกอบด้วยจังหวัด 5 จังหวัด คือ Albacete, Ciudad Real, Cuenca, Guadalajara และ Toledo คำว่า Mancha ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า รอยเปื้อน จุดด่างดำ หรือรอยสิวในภาษาสเปนนะคะ แต่มีที่มาจากคำในภาษาอาหรับ คำว่า Manxa หรือ Al-Mansha ซึ่งมีความหมายว่า "tierra sin agua" (แผ่นดินที่ไม่มีน้ำ), หรืออาจจะมาจากคำว่า Manya ที่แปลว่า "alta planicie" (ที่ราบสูง) หรือ "lugar elevado" พื้นที่ยกสูง ซึ่งพื้นที่ในแถบแว่นแคว้นนี้ก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ






กังหันลม หรือในภาษาสเปนใช้คำว่า molino de viento (โมลิโน่ เด เบียนโต้) เป็นองค์ประกอบในฉากสำคัญของวรรณกรรมเรื่อง El ingenioso hidalgo don Quijote de la Mancha หรือเรียกสั้นๆว่า Don Quijote แปลเป็นไทยไว้อย่างเพราะพริ้งโดยผู้แปลว่า "ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน" ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของสเปน และเป็นที่รู้จักกันดีมากๆในระดับสากล เพราะเป็นวรรณกรรมที่มีความเป็น universal คือ ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็สามารถเข้าใจสารที่ผู้แต่งต้องการสื่อ เพราะที่มีความเป็นสากลอยู่สูง แม้เรื่องราวจะดำเนินอยู่ในแคว้น La-Mancha ของสเปนก็ตาม มีคนตีความเรื่องราว สัญลักษณ์ต่างๆในเรื่องนี้ไว้มากมาย เรื่องนี้ผู้แต่งคือ Cervantes (เซร์บันเตส) เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1605 โน่นเลยค่ะ





ตามท้องเรื่อง เมื่อดอน กิโฆเต้ควบม้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ก็ไปเจอกับกังหันลม ด้วยความฟั่นเฟือนพ่อดอนแกเลยคิดเป็นตุเป็นตะว่ากังหันลมคือยักษ์ จึงเข้าไปโรมรันต่อสู้ให้ชุลมุนวุ่นวาย สุดท้ายก็แพ้ยับเยินค่ะ ฉากนี้นับว่าเป็น "ฉากจำ" ของวรรณกรรมเรื่องนี้เลยค่ะ





กังหันลมแต่ละตัวจะมีชื่อตามตัวละครในวรรณกรรมเรื่องนี้ค่ะ มีตัวเดียวที่ยังเปิดใช้งานได้อยู่ คือ ตัวที่มีชื่อว่า Sancho ซึ่งเป็นชื่อของตัวละครคนรับใช้คู่กายของดอน กิโฆเต้ค่ะ กังหันลมของจริงสวยค่ะ รู้สึกว่า ไม่เคยเห็นวิวทิวทัศน์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน บรรยากาศเหมือนหลุดเข้าไปในยุโรปยุคอัศวิน บ้านช่องที่นี่ก็ดูเล็กๆเก่าๆ มีตรอกซอกซอยแคบๆ ให้บรรยากาศเหมือนบ้านนอกฝรั่งมากๆ น่ารักไปอีกแบบดีค่ะ




สำหรับการเดินทางมาเมืองนี้ สามารถนั่งรถบัสมาจากมาดริดมาได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ก็ถึง หรือจะนั่งรถมาจากโตเลโด้ก็ได้ค่ะ เมืองนี้ไม่มีรถไฟมานะคะ ใครใคร่อยากจะค้างคืนก็ได้ค่ะ ในตัวเมืองมีโรงแรมอยู่ แต่จขบ.แนะนำว่า ไปเช้าเย็นกลับก็พอค่ะ เพราะเดินเที่ยวในเมืองประมาณครึ่งวันก็เสร็จค่ะ



ส่วนรูปที่เอามาลงนี้มีทั้งถ่ายโดยกล้องตัวเอง (Sony NEX-5R) และกล้องเพื่อน (Nikon) ค่ะ
Hope you like it! :D